fbpx
DRJL Group Company Limited.
Dr.JiLL

ANTI-MELASMA CREAM

'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' ต่างกันอย่างไร แยกให้ออก เพื่อการรักษาอย่างตรงจุด

     หากจะกล่าวถึงปัญหา ‘ฝ้า กระ จุดด่างดำ’ คงเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของหลายๆ คน เพราะเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนใบหน้าและร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นประจำ หลายครั้งที่แม้จะบำรุงโดยใช้สกินแคร์สูตรเฉพาะแล้ว ก็ยังไม่หายขาดสักที ยังกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อยๆ สาเหตุที่ปัญหาเหล่านั้นยังไม่หายไป อาจเป็นเพราะการรักษาที่ไม่ถูกวิธี นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงต้องแยก ‘ฝ้า กระ จุดด่างดำ’ ให้ออก เพื่อการดูแลรักษาผิวหน้าของเราได้อย่างตรงจุด และเพื่อผลลัพท์ที่ดีที่สุดนั่นเอง

‘ฝ้า’ คืออะไร เกิดจากอะไร ?

     “ฝ้า” คือ ภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีในผิวหนังทำงานมากขึ้น ในผิวหนังจึงมีเม็ดสีหรือเมลานินมากขึ้นนอกจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้นแล้วจะพบว่าจำนวนอาจเพิ่มขึ้นด้วย มักพบฝ้าบริเวณที่ร่างกายสัมผัสแสงแดด เช่น ใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผาก แก้ม จมูก ซึ่งฝ้ามักเริ่มเป็นเมื่ออายุ 25-50 ปี พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

     สาเหตุการเกิดฝ้า เชื่อว่าเกิดจากแสงแดดหรือจากรังสี UV ที่เราได้รับในทุกๆ วันเป็นหลัก นอกจากรังสี UV แล้ว ฝ้าก็ยังเกิดได้จากความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือผู้หญิงที่ตั้งครรภ์บางคน ก็อาจมีฝ้าเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งฝ้าแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ฝ้าแบบตื้น อยู่ในระดับผิวหนังกำพร้าหรือหนังชั้นนอก จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล เกิดได้ง่ายแต่ก็สามารถรักษาได้ง่ายเช่นเดียวกัน

2. ฝ้าแบบลึก จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าหนังกำพร้า ให้สีที่เป็นน้ำตาลอมฟ้าหรืออมม่วง เนื่องจากอยู่ในระดับผิวหนังที่ลึก จึงทำให้รักษาได้ยาก

‘กระ’ เกิดจากอะไร มีลักษณะอย่างไร ?

     “กระ” เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีมากขึ้นผิดปกติเมื่อถูกแสงแดด ลักษณะจะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาล พบได้บนใบหน้า โดยเฉพาะกลุ่มสีบริเวณดั้งจมูก หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย มักเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ คนที่มีพ่อแม่ เป็น กระ จะมีโอกาสเป็น กระ มากกว่าคนทั่วไป หากตากแดดจะทำให้จำนวนกระเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ซึ่ง กระ มีหลายชนิด สามารถสังเกตได้ดังนี้

1. กระตื้น มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ มักพบบริเวณที่สัมผัสแดดมาก เช่น โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือจมูก กระตื้น เกิดจากเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้นส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม ที่ทำให้เซลล์เม็ดสีมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ประกอบกับการสัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำโดยไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสทำให้กระเข้มขึ้น เพิ่มจำนวนมากขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นด้วย

2. กระลึก มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นแผ่นสีน้ำตาล เทา ดำ ขอบไม่ชัด มองเผินๆ คล้ายฝ้า มักพบบริเวณ โหนกแก้ม ดั้งจมูก ขมับทั้ง 2 ข้าง เป็นต้นกระลึก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีบริเวณชั้นหนังแท้ โดยจะพบตั้งแต่แรกเกิด และถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด ร่วมกับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นช่วงวัยรุ่นหรือช่วงตั้งครรภ์ จะทำให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงอายุที่มากขึ้น

3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม พบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก หลัง โดยอาจขึ้นเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ แล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้น นูน และมีสีเข้มขึ้น โดยมีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า กระเนื้อ เกิดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเจริญเติบโตมากผิดปกติ โดยมีตัวกระตุ้นคือ แสงแดดและอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งมีอายุมากขึ้น ขนาดก็จะใหญ่ขึ้นและจำนวนก็มากขึ้นด้วย

4. กระแดด มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆ สีน้ำตาลหรือสีดำขนาดเล็ก ขอบชัด พบบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ เช่น ใบหน้า แขน ขา เป็นต้น ส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีผิวขาวและมีอายุค่อนข้างมาก

     สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ ฝ้า จะมีลักษณะเป็นปื้นและมีขนาดใหญ่กว่าขอบเขตไม่ชัดเจน ขณะที่ กระ จะเป็นจุดกลมๆ เล็กๆ มีขอบชัดเจน ฝ้า กับ กระ นั้น มีวิธีการรักษาที่ไม่เหมือนกัน ปัญหาที่แพทย์ผิวหนังเจอบ่อยในคนไข้ที่มีปัญหาฝ้าและกระ คือ ผิวของคนไข้ที่เป็นทั้ง ฝ้าและกระ ร่วมกัน ความเข้มของเม็ดสีที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การรักษานั้น ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

‘จุดด่างดำ’ คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร ?

     จุดด่างดำ คือ รอยดำที่เกิดจากการอักเสบของผิว มักเกิดขึ้นจากการไปแกะสิวที่อักเสบทำให้ผิวอักเสบไปด้วย ซึ่งผิวบริเวณที่อักเสบจะเป็นสีน้ำตาลเข้มถึงดำ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสิวจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง หรือเข้ารับการรักษากดสิวและรักษารอยสิวจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ตัวกระตุ้นที่สำคัญคือแสงแดดที่ทำให้รอยดำนั้นเด่นชัดขึ้นอีกด้วย

วิธีรักษา ‘ฝ้า กระ จุดด่างดำ’ ให้ถูกวิธีและตรงจุด

     การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และการทาครีมกันแดดเป็นประจำนั่นสำคัญมาก เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีทั้ง UVA/UVB การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างผักใบเขียว ตระกูลเบอร์รี หรืออาหารเสริมประเภท Vitamin A,C,E ที่มีส่วนช่วยลดเลือนปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ บางคนอาจจะต้องการวิธีเร่งด่วนก็คือ เข้าคลินิกเลเซอร์เพื่อทำการรักษา โดยมีค่ารักษาราคาแพง ซึ่งวิธีที่ง่ายและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและตรงจุดอีกวิธีหนึ่งก็คือการเลือกใช้สกินแคร์ที่ตอบโจทย์ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้โดยเฉพาะ

     Dr.JiLL ADVANCED ANTI-MELASMA CREAM ครีมทาบริเวณฝ้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าตัวใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Dr.JiLL การันตีเรื่องผลลัพธ์และความปลอดภัยได้แน่นอน ถือเป็นตัวช่วยจัดการปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ลงลึกถึงชั้นผิวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย 3 กลไกการทำงาน ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจาก Dr.JiLL

“ยับยั้ง”
เอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินได้ตรงจุด

“ลด”
เม็ดสีเมลานินสะสม

“สกัดกั้น”
การขนส่งเม็ดสีเมลานิน ไม่ให้ส่งไปยังผิวชั้นนอก

     Dr.JiLL ADVANCED ANTI-MELASMA CREAM มีสารสกัดหลักมาจาก Gatuline Spot light (กาตุไลน์) ส่วนผสมออร์แกนิคจากธรรมชาติ เป็นการรวมตัวกันของสารสกัดจากกีวี่สายพันธุ์อิตาเลี่ยน ผสมผสานกับสารสกัดจากรากสมุนไพรจีนขู่เซิง ช่วยต่อต้านการสร้างเม็ดสี จึงช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ เผยผิวใหม่ให้กระจ่างใสยิ่งขึ้น Dr.JiLL ADVANCED ANTI-MELASMA CREAM ครีมทาบริเวณฝ้า มีเนื้อครีมเข้มข้น ซึมไว ไม่มัน ใช้ทาทั่วใบหน้าหรือทาเฉพาะจุดที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำได้ใน 2 สัปดาห์* นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าแดดซ้ำ การันตีผลลัพธ์ด้วยรีวิวจากผู้ใช้จริง

* จากการทดสอบในอาสาสมัคร ที่มีฝ้า กระ โดยใช้ครีมต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ควรใช้ผลิตภัณฑ์ Dr.JiLL ADVANCED ANTI-MELASMA CREAM ครีมทาบริเวณฝ้า และจุดด่างดำ ควบคู่กับการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF50+ PA++++ ป้องกันได้ทั้ง UVA , UVB , Blue Light เพื่อผลลัพธ์สูงสุด

Dr.JiLL

บทความที่เกี่ยวข้อง

v

At vero eos et accusamus et iusto odio dignissimos qui blanditiis praesentium voluptatum.